วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

งานที่ทำรายได้มากที่สุด




30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !

1. งานกายอุปกรณ์ (Orthotists and Prosthetists)

          บุคลากรด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู ผู้ทำหน้าที่ออกแบบ วัดขนาด รวมไปถึงทุกขั้นตอนของการผลิต ดัดแปลงและซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้กับร่างกายเพื่อช่วยเหลือการเคลื่อนไหว เช่น แขนเทียม ขาเทียม อุปกรณ์ประคองหรือดามหลัง อุปกรณ์ดามมือ และอวัยวะเทียมเกือบทุกชนิด หน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยแบบนี้แน่นอนว่ารายได้ดีงามทีเดียวเชียวล่ะ โดยค่าจ้างของอาชีพนี้ตกชั่วโมงละ 30.27 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 980 บาทต่อชั่วโมง กดเครื่องคิดเลขอีกนิดก็จะรู้เลยว่าเป็นอาชีพที่ทำเงินประมาณ​ 235,200 บาทต่อเดือนแน่ะ !


30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !!

2. ช่างไฟฟ้า

          อาชีพนี้ไม่เพียงแต่มีรายได้ดี ทว่าสวัสดิการต่าง ๆ ก็ครบถ้วนอีกต่างหาก ส่วนขอบเขตของงานจะทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับไฟฟ้า เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนติดตั้ง บำรุง ซ่อมแซม ดูแลระบบจ่ายไฟ ข้องเกี่ยวกับเคเบิลและระบบไฟหลายชนิด ค่าแรงต่อชั่วโมงอยู่ที่ 30.85 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,000 บาท) ประเมินแล้วเงินเดือนบวกกับค่าความเสี่ยงก็ 2 แสนกว่าบาทต่อเดือนเหมือนกัน

3. ไคโรแพรกติก (Chiropractic)         

          อีกหนึ่งอาชีพทางสายการแพทย์ที่จำเป็นต้องมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์พอสมควรสำหรับการจัดกระดูก รวมไปถึงระบบกล้ามเนื้อที่ผิดปกติให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบกระดูก กล้ามเนื้อและข้อ อ้อ ! ลืมบอกไปว่าศาสตร์การรักษานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดใด ๆ ทั้งสิ้น งานนี้อาศัยมือของผู้เชี่ยวชาญล้วน ๆ ดังนั้นตัวเลขของเงินเดือนที่ควรได้จึงสูงถึงประมาณ 243,840 บาทต่อเดือน นับเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มหาศาลแต่ก็สมน้ำสมเนื้อกับความรู้ความสามารถนะ คะ

4. ผู้ตรวจการขนส่ง
          เป็นอีกหนึ่งอาชีพในส่วนงานราชการที่มีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการขนส่งของผู้ประกอบการส่วนต่าง ๆ ด้วยเหตุผลที่ต้องการป้องกันปัญหาทุจริตคอรัปชั่น อาชีพนี้เลยได้เงินเดือนเหนาะ ๆ อยู่ที่ 246,240 บาทต่อเดือน



5. นักรังสีเทคนิค

          กว่าจะเรียนจนจบมาได้คงยากลำบากพอดู นักรังสีเทคนิคเลยสมควรแก่การได้ค่าจ้าง 246,720 บาทต่อเดือน แต่ด้วยความรู้ความสามารถที่ร่ำเรียนมาแล้วต้องยกให้เขาเลยจริง ๆ

6. แพทย์เฉพาะทางรังสี

          แพทย์เฉพาะทางผู้มีความรู้ความสามารถทางเทคนิคการแพทย์ รวมไปถึงเครื่องฉายแสงต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคด้วยเทคโนโลยีรังสีอย่างนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ส่วนอัตราเงินเดือนของอาชีพนี้ก็สูงถึง 248,160 บาทต่อเดือน แถมแว่ว ๆ มาว่าไม่จำเป็นต้องสแตนบายด์ที่โรงพยาบาลตลอดเวลาอีกต่างหาก

7. ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์

          ทั้งโปรดิวเซอร์และผู้กำกับละครทีวี ละครเวที และภาพยนตร์ต่างก็มีรายได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากละครหรือภาพยนตร์มีกระแสตอบรับแรง ๆ คนดูกันทั้งประเทศและดังไกลไปถึงเมืองนอก แบบนี้บอกเลยว่ารายได้ต่อเดือนไม่น่าจะต่ำกว่า 250,000 บาทต่อเดือน แถมยังไม่ต้องตอกบัตรเข้างาน ไม่จำเป็นต้องไปทำงานทุกวัน ทว่าเวลามีงานจริง ๆ ก็หามรุ่งหามค่ำเหมือนกัน

8. วิศวกรรมต่อเรือและเครื่องกลเรือ

          ดูแลรับผิดชอบระบบเดินเรือและเครื่องกลเรือทุกชิ้นส่วน จำเป็นต้องพกความรู้ความเรื่องโครงสร้างเรือ ระบบการทำงานของเรือแต่ละประเภท รวมไปถึงระบบสุขาภิบาล ไฟฟ้า และระบบอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานของเรือด้วย ส่วนอัตราค่าจ้างของอาชีพนี้จะอยู่ที่ประมาณ 260,000 บาทต่อเดือน



9. กัปตันเรือ

          อาชีพเกี่ยวกับการเดินเรือนี่เงินเดือนไม่ใช่ย่อย ๆ เลยล่ะ อย่างเหล่ากัปตันและผู้ช่วยกัปตันเรือก็มีรายได้กว่า 1,088 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินเดือนก็ประมาณ 260,000 บาทกว่า ๆ เท่านั้นเอง

10. เกษตรกร

          เจ้าของไร่ นา สวน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ถ้าทำอย่างจริงจังก็รวยใช่เล่นนะ เบาะ ๆ รายได้ต่อเดือนจะอยู่ที่เกือบ 260,000 บาทเลยทีเดียว

11. นักพยาธิวิทยาด้านการพูดและภาษา (Speech-Language Pathologist)

          อาจเป็นอาชีพที่ไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไร แต่บอกไว้เลยว่าการแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางการสื่อสาร ทำรายได้ต่อเดือนให้นักพยาธิวิทยาด้านการพูดและภาษากว่า 265,000 บาท

12. นักทันตสุขอนามัย (Dental hygienist)

          นักทันตสุขอนามัยจะประจำอยู่ตามสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยภายในช่องปาก รวมถึงมีความรู้ในการป้องกันโรคทางช่องปากและรักษาความสะอาดของฟันขั้นพื้นฐานได้ อาชีพนี้ในเมืองนอกสามารถทำเงินได้เกิน 265,000 บาทต่อเดือนเชียวนะ

13. นักโสตสัมผัสวิทยา

          ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอนามัยภายในช่องหูและประสาทการได้ยินของมนุษย์อย่างครอบคลุม ถ้าประกอบอาชีพนี้ในเมืองนอก การันตีรายได้ไม่ต่ำกว่า 267,000 บาทต่อเดือน ถือเป็นอาชีพที่ทำเงินดี๊ดีอีกอาชีพหนึ่งเลย

14. นักอาชีวบำบัด

          อาชีพที่คล้าย ๆ นักจิตวิทยาสาขาหนึ่งซึ่งมีหน้าที่บำบัดผู้ป่วยที่มีการพัฒนาค่อนข้างช้า จนเกิดความบกพร่องในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกิจกรรมพื้นฐานรอบตัว เช่น การทำงานบ้าน การประกอบอาชีพ หรือฟื้นฟูทักษะการใช้ชีวิตประจำวันให้เหมือนคนปกติ ภารกิจใหญ่ยิ่งขนาดนี้ก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าไปเลยเหนาะ ๆ เดือนละ 287,000 บาท

15. ช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงลิฟต์

          รับผิดชอบตั้งแต่การตรวจสอบโครงสร้างลิฟต์ การผลิต ระบบการทำงาน ไปจนถึงการติดตั้งและซ่อมแซมลิฟต์โดยสาร อาชีพนี้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมาก ๆ โดยเรตค่าจ้างในต่างประเทศจะสูงถึงชั่วโมงละ 37.81 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ1,224 บาท) คิดเป็นเงินเดือนก็เกือบ 300,000 เลยนะ

16. นักรังสีการแพทย์

          ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาสามารถบรรเทาและรักษาอาการของโรคด้วยการฉายรังสี คนที่จะประกอบอาชีพนี้ได้ต้องเรียนหนักไม่แพ้แพทย์ พ่วงกับความรู้ด้านรังสีวิทยาที่ควรต้องแม่นเป๊ะ สนนรายได้ต่อเดือนจึงทะยานไปไกลถึง 295,000 บาท

30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !!

17. นักกายภาพบำบัด

          ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระมนุษย์ สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติและวางแผนการรักษาอาการผิดปกตินั้นโดยใช้ความรู้ พื้นฐานทางกายภาพบำบัด นักกายภาพบำบัดจำเป็นต้องแข็งแรงพอสมควรนะคะ เพราะต้องคอยจัดท่ารวมถึงพยุงคนไข้ในระหว่างการทำกายภาพบำบัด ถือเป็นงานที่หนักไม่น้อยเลยทีเดียว เงินเดือนก็เลยต้องสมน้ำสมเนื้อ โดยนักกายภาพบำบัดต่างประเทศจะได้เรตค่าจ้างชั่วโมงละ 38.96 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็ตกชั่วโมงละประมาณ 1,261 บาท เท่ากับว่ากวาดรายได้เข้ากระเป๋าเดือนละ 3 แสนกว่าบาทเลย


30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !!

18. สัตวแพทย์

          ความยากของอาชีพนี้อยู่ที่การวินิจฉัยโรคที่สัตว์เป็น เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ไม่สามารถบอกอาการเจ็บป่วยของตัวเองได้เลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังต้องเก๋าพอที่จะรักษาสัตว์ได้ทุกชนิดบนโลกใบนี้ เงินเดือนเลยปาเข้าไปกว่า 323,000 บาทต่อเดือน

19. เจ้าหน้าที่ทำคลอดทารก

          ใครจะประกอบอาชีพนี้ได้ต้องมีความรู้เรื่องสูติแน่นปึ้ก ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับขั้นตอนการทำคลอดเด็กทารก เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูก ซึ่งบ้านเราส่วนใหญ่จะอาศัยแพทย์สูติและพยาบาลผู้มีประสบการณ์ในการทำคลอดแทน แหม...น่าเสียดายไม่เบานะคะ เพราะเจ้าหน้าที่ทำคลอดในต่างประเทศเก็บรายได้รายต่อชั่วโมงถึง 44.37 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,436 บาท) เลยทีเดียว ตกเดือนละเกือบ 350,000 บาท

20. พยาบาลเวชปฏิบัติ

          ด้วยหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำทุกอย่างให้ได้เกือบเทียบเท่าแพทย์ ความรู้ความสามารถจึงต้องอยู่ในระดับดี เงินเดือนเลยค่อนข้างคุ้มค่าในระดับประมาณ 346,000 บาทต่อเดือน

21. ผู้ช่วยทางการแพทย์

          อีกหนึ่งอาชีพที่ต้องทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ลักษณะของงานจะคล้าย ๆ เลขาของแพทย์ ซึ่งต้องจัดเตรียมข้อมูลของคนไข้เพื่อส่งเคสต่อให้แพทย์ได้ และอาจต้องให้คำปรึกษาและคัดกรองคนไข้ก่อนถึงมือหมอ โดยในต่างประเทศตำแหน่งนี้จะค่อนข้างมีตัวตนที่ชัดเจนมากกว่าบ้านเรา แถมเงินเดือนยังดี๊ดีที่ 44.70 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1,447 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินเดือนแล้วก็ประมาณ 350,000 บาท

22. ผู้เชี่ยวชาญในการวัดสายตาและประกอบแว่น

          งานที่เกี่ยวกับสายตาจำถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญและค่อนข้างมีละเอียดอ่อน ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญในการวัดสายตาและประกอบแว่นต้องผ่านการร่ำเรียนที่หนักหนาสาหัสเอาการ ค่าตอบแทนจึงต้องสูงเป็นธรรมดา โดยรายได้เฉลี่ยต่อเดือนจะตกประมาณ 378,480 บาท


30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !!

23. นักบิน ผู้ช่วยนักบิน พนักงานสายการบิน และวิศวกรการบิน
          สายอาชีพที่มีสถานที่ทำงานบนผืนฟ้าเป็นส่วนใหญ่ต้องอาศัยทักษะเฉพาะและความรู้ความสามารถที่คนทั่วไปไม่อาจทำได้ การันตีรายได้แบบไม่ต้องสงสัยตกเดือนละกว่า 430,000 บาท

24. ทันตแพทย์

           แค่ถอนฝันไม่กี่ซี่เราก็ต้องควักเงินในกระเป๋าไปหลายร้อย ยังไม่นับรวมทันตกรรมชนิดอื่น ๆ อีก ดังนั้นทันตแพทย์ที่ทำงานทั้งในโรงพยาบาลและเปิดคลีนิกเป็นของตัวเองด้วย มีรายได้ชัวร์ ๆ ไม่ต่ำกว่าหลักแสน อย่างทันตแพทย์ของต่างประเทศจะการันตีรายได้อยู่ที่ 70.36 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,278 บาทต่อชั่วโมง กดเครื่องคิดเลขดูตกเดือนละ 546,000 เลยทีเดียว

25. พยาบาลวิสัญญี

          พยาบาลวิสัญญีถือเป็นวิชาการพยาบาลขั้นสูง ซึ่งต้องมีความรู้ในเรื่องยาระงับความรู้สึก รวมทั้งต้องประเมินปริมาณการให้ยาสลบกับคนไข้ได้อย่างแม่นยำพอสมควร ไม่อย่างนั้นกะผิดกะถูกไปคนไข้ตื่นขึ้นมาระหว่างการผ่าตัดล่ะวุ่นแน่ ดังนั้นตำแหน่งสำคัญทางการแพทย์อย่างนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จึงยอมจ่ายค่าแรงให้ชั่วโมงละ 72.64 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณชั่วโมงละ​ 2,352 บาท ต่อเดือนประมาณ 564,000 บาท

26. จิตแพทย์

          ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทุกรูปแบบแล้วแต่คนไข้แต่ละเคส และทำการรักษาปัญหาทางจิตและความคิดของคนไข้ภายใต้วิธีการทางจิตวิทยา ถือว่าเป็นงานที่ไม่ต้องลงแรงเท่าไร แต่ในฐานะที่ต้องทนรับฟังแต่ปัญหาของผู้อื่นรายได้จึงงามมาก คิดแล้วตกอยู่ชั่วโมงละ 86.03 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าเป็นเงินไทยก็ราว ๆ 2,786 บาท หรือเดือนละ 668,000 บาท


30 อาชีพรายได้เยอะ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอิจฉา !!

27. ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟัน

           ในวงการทันตแพทย์ศาสตร์ต้องยอมรับว่า ทันตแพทย์สาขาการจัดฟันแอบทำรายได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในช่วงนี้กระแสจัดฟันยังแรงไม่แผ่วสักนิด รายได้ของหมอฟันสาขานี้จึงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยในอเมริกาเรตรายได้ของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันจะสูงถึง ชั่วโมงละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ ตกเกือบ 3,000 บาทต่อชั่วโมง คิดเป็นเงินก็แค่เดือนละ 720,000 เท่านั้นเอง !!

28. ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านโรคข้อต่อขากรรไกร
          หน้าที่ของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อต่อขากรรไกรจะดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับความผิดปกติของขากรรไกร สามารถวินิจฉัยและผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของกระดูกขากรรไกรได้ โดยส่วนมากรายได้จะเทียบเท่ากับทันตแพทย์สาขาจัดฟัน คือ ชั่วโมงละ 90 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000 บาทต่อชั่วโมง หรือเดือนละ 720,000 บาท

29. แพทย์ผ่าตัด
          การผ่าตัดเพื่อทำการรักษาโรคดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตของคนเรา ฉะนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จำเป็นต้องพกพาความรู้ความสามารถที่เปี่ยมไป ด้วยศักยภาพมาช่วยชีวิตคน รายได้จากอาชีพนี้จึงค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่เรต 91.66 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง อยู่ในไทยก็คงได้ค่าวิชาชีพประมาณ 2,968 บาท ตกเดือนละ 720,000 บาท เช่นกัน

30. วิสัญญีแพทย์

TOP 9 สาขามาแรงประจำปี 2018-2019







TOP 9 สาขามาแรงประจำปี 2018-2019






สาขาฮอตฮิตอันดับ 1 ที่คนสนใจกันมากที่สุดก็คือสาขาเกี่ยวกับธุรกิจและบริหาร หลายคนอาจจะสงสัยว่าอ้าวแล้วบริหารอย่าง MBA ล่ะ ก็ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ ก็รวมอยู่ในนี้แต่สาขานี้จะเป็นการพูดถึงรวมๆ มากกว่าสำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะลงเจาะลึกไปที่สาขาไหนเป็นพิเศษนั่นเอง ^^

สาขานี้เหมาะกับคนที่สนใจด้านธุรกิจ การบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นจัดการองค์กร จัดการเวลา จัดการคน .ในปัจจุบันสาขาธุรกิจนี้แตกย่อยออกเป็นหลายสาขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจออนไลน์ อย่างไรก็ตามการเข้าใจหลักการพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญ ในการเลือกหลักสูตร ควรดูว่ามีวิชาครอบคลุมในส่วนที่เราสนใจหรือไม่


2 Education

สาขาสำหรับคนรักการเป็นผู้ให้ความรู้ หรือต้องการศึกษาที่มาที่ไปเกี่ยวกับการเรียนรู้ต่างๆ อาจจะไม่จำเป็นแค่ในคณะครุศาสตร์ แต่รวมไปถึงจิตวิทยาการศึกษา
เพราะการสอนไม่ใช่แค่การบอกต่อ แต่ต้องเข้าใจศาสตร์ต่างๆ อย่างลึกซึ้ง ทำให้สาขานี้ยังจำเป็นและน่าสนใจติดอันดับแรกๆ นั่นเอง :) 

 

3.Social Studies and Communication

สังคมศาสตร์และการสื่อสาร ในบางประเทศเป็นสาขาที่รวมการเรียนตั้งแต่สังคมศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ ไปจนถึงวารสารศาสตร์เลยทีเดียว 
เพราะสังคมไม่มีการหยุดอยู่กับที่ การสื่อสารเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ทำให้การเรียนในสาขาเหล่านี้ยังเป็นสาขาที่คนสนใจกันอยู่มาก


4.Engineering

วิศวกรรมศาสตร์เป็นสาขาฮอตฮิต ไม่ว่าจะเป็นเมเจอร์ใดๆ ก็ตาม นอกจากจะเป็นที่ต้องการในตลาดแล้วยังเป็นสาขาที่ทำรายได้ดีอีกด้วย เหมาะกับคนที่ชอบคิด ชอบสร้าง ชอบเขียนโค้ด
นอกจากจะเป็นที่นิยมในประเทศแล้ว ในต่างประเทศยังมีหลายมหาวิทยาลัยที่สอนสาขานี้กันอย่างเข้มข้น


5. Humanities

มนุษยศาสตร์ไม่ได้เรียนแค่อะไรที่เกี่ยวกับมนุษย์! แต่ยังรวมถึงภาษา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ การละคร และอื่นๆ
สาขานี้เหมาะกับคนที่ต้องการเรียนและทำความเข้าใจกับโลก เป็นสาขาที่ได้ทำความเข้าใจเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง คนรักการอ่านคงจะไม่พลาด

 

6. MBA

แตกต่างจากพวกการตลาด ธุรกิจ การบัญชี แต่เรียกว่าถึงอย่างไร MBA ก็ยังมีแก่นเดียวกันคือด้านการบริหาร เรียกว่าใครที่สนใจธุรกิจต้องมาด้านนี้ อันที่จริง MBA ก็รวมอยู่ในอันดับ 1 ด้วย แต่ถึงขนาดที่มีคนเรียกร้องระบุชัดเจนจนขึ้นอันดับนำหน้าสาขาอื่นมาขนาดนี้แสดงว่าสาขานี้ไม่ธรรมดาเลย!



7.Tourism and Hospitality

สาขานี้เป็นอีกสาขาที่เป็นที่ต้องการมากในตลาดและมีโอกาสได้ฝึกงานจริงขณะที่เรียนอยู่ ทำให้เป็นที่สนใจมากเป็นพิเศษ
ถ้ารักการบริการ การท่องเที่ยว หรือการโรงแรม การพบปะผู้คนใหม่ๆ แล้ว สาขานี้เป็นสาขาที่เหมาะกับคุณ!

 

 

8. Health and Medicine

แพทย์ พยาบาล สหเวช และสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพได้รับความสนใจเป็นพิเศษ สาขานี้เป็นที่ต้องการเสมอ
แม้อาจจะต้องใช้เวลาเรียนนานกว่าสาขาอื่นแต่ก็มั่นใจได้เลยว่าเวลาที่ใช้การเรียนจะต้องคุ้มค่าแน่ๆ เป็น 1 ในเหตุผลที่ทำให้คนสนใจสาขานี้กันมาก

 

9. Creative Arts

"Earth without art is just eh." โลกที่ไม่มีศิลปะก็เป็นโลกที่แห้งแล้งเนอะ นั่นเลยอาจจะเป็น 1 ในเหตุผลที่ทำให้สาขานี้ยังฮิตติดอันดับเสมอต้นเสมอปลาย
ศิลปะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำอนิเมชั่น
สถาปตยกรรม แฟชั่นดีไซน์ กราฟฟิคดีไซน์ ต่างก็เป็นศิลปะที่ทำให้โลกสวยงามทั้งนั้น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงให้ความสนใจกันมาก

 


สาขาที่ตกอันดับ

Law

เคยเห็นทนายในซีรีย์ต่างประเทศแล้วร้อง "หูย เท่จัง!" ไหม สาขานิติศาสตร์นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเท่ๆ แบบนั้น
แม้จะตกอันดับไปแต่กฎหมายก็ยังเรียกว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในสังคมเสมอ เพราะฉะนั้นนิติศาสตร์หรือการเรียนเกี่ยวกับกฎหมายจึงจำเป็นมาก (แต่เตือนไว้ว่าใครเรียนคณะหรือสาขานี้ก็ขึ้นชื่อเรื่องการต้องอ่านเอกสารเยอะเช่นกัน)



วิธีการจัดการกับความเครียด




วิธีการจัดการกับความเครียด

มาทำความรู้จักกันก่อนว่า “ความเครียด” คืออะไร?
ความเครียดเป็นภาวะของอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ และทำให้รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ วุ่นวายใจ กลัว วิตกกังวล ตลอดจนถูกบีบคั้น เมื่อบุคคลรับรู้หรือประเมินว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คุกคามจิตใจ หรืออาจจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จะส่งผลให้สภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจเสียไป
แบบไหนถึงจะเรียกว่าเครียด?
เมื่อเกิดความเครียด บุคคลจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านจิตใจและอารมณ์ รวมทั้งด้านพฤติกรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไป และความเครียดเหล่านั้นคลายลง ร่างกายจะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง
ความเครียดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดบ้าง?
ผลจากปฏิกิริยาตอบสนองที่มีต่อความเครียด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลนั้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1. ด้านร่างกาย
ภาวะที่เครียดเกิดขึ้นจะกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด
เป็นลม เจ็บหน้าอก ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน โรคอ้วน แผลในกระเพาะอาหาร เมื่อบุคคลตกอยู่ในความเครียดเป็นเวลานาน จะทำให้สุขภาพร่างกายเลวลงเนื่องจากเกิดความไม่สมดุลของระบบฮอร์โมน ซึ่งเป็นชีวเคมีที่สำคัญต่อมนุษย์ เพราะทำหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ภายใน ขณะเกิดความเครียดจะทำให้ต่อมใต้ถูกกระตุ้น ทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดอาการทางกายหลายอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ตั้งแต่ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย หากบุคคลนั้นต้องเผชิญกับความเครียดที่รุนแรงมากๆ อาจส่งผลให้บุคคลเสียชีวิตได้เนื่องจากระบบการทำงานที่ล้มเหลวของร่างกาย เช่นคนที่มีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว หากเกิดความเครียดอย่างรุนแรง ฮอร์โมนคอร์ติซอลจะไปกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นหรือลดต่ำลงอย่างผิดปกติ และทำให้เกิดอาการช็อกได้ หรือในบางรายที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ส่งผลให้เกิดเป็นอาการของโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ต่างๆ โรคผิวหนัง อาจมีอาการผมร่วงและมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับคนปกติ
2.  ด้านจิตใจและอารมณ์
จิตใจของบุคคลที่เครียดจะเต็มไปด้วยการหมกมุ่นครุ่นคิด ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ใจลอย
ขาดสมาธิ ความระมัดระวังในการทำงานเสียไปเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จิตใจขุ่นมัว โมโหโกรธง่าย สูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถที่จะจัดการกับชีวิตของตนเอง เศร้าซึม คับข้องใจ วิตกกังวล ขาดความภูมิใจในตนเอง ในบางรายที่ตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างยาวนานมาก อาจก่อให้เกิดอาการทางจิต จนกลายเป็นโรคจิตโรคประสาทได้ เนื่องจากการเผชิญต่อภาวะเครียดเป็นเวลานานฮอร์โมนคอร์ติซอลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น จะทำให้เซลล์ประสาทฝ่อและลดจำนวนลง โดยเฉพาะในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกับความจำและสติปัญญา ความเครียดจึงทำให้ทำให้ความจำและสติปัญญาลดลง และยังมีผลต่อการทำงานของระบบสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และพฤติกรรมโดยเฉพาะสารสื่อประสาท จึงทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลกว่าเวลาปกติ
3. ด้านพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายดังที่กล่าวในข้างต้น ไม่เพียงแต่จะทำให้ระบบการ
ทำงานของร่างกายผิดเพี้ยนไป แต่ยังทำให้พฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลเปลี่ยนแปลงด้วย ยกตัวอย่างเช่น บุคคลที่เครียดมากๆ บางรายจะมีอาการเบื่ออาหารหรือบางรายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองหิวอยู่ตลอดเวลาและทำให้มีการบริโภคอาหารมากกว่าปกติ มีอาการนอนหลับยากหรือนอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกัน ประสิทธิภาพในการทำงานน้อยลง เริ่มปลีกตัวจากสังคม และเผชิญกับความเครียดอย่างโดดเดี่ยว บ่อยครั้งบุคคลจะมีพฤติกรรมการปรับตัวต่อความเครียดในทางที่ผิด เช่น สูบบุหรี่ ติดเหล้า ติดยา เล่นการพนัน การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่างในสมองทำให้บุคคลมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ความอดทนเริ่มต่ำลง พร้อมที่จะเป็นศัตรูกับผู้อื่นได้ง่าย อาจมีการอาละวาดขว้างปาข้าวของ ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายร่างกายตนเอง หรือหากบางรายที่เครียดมากอาจเกิดอาการหลงผิดและตัดสินใจแบบชั่ววูบนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด
 
 
ทำอย่างไรจึงจะหายจากอาการเครียดได้?
วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด
พิจารณาดูว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้หรือไม่ หากแก้ไขไม่ได้อาจต้อง
ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเพื่อแก้ไขปัญหา เพราะบางครั้งปัญหานั้นอาจไม่ได้เกิดจากเราเพียงคนเดียวก็ได้
สารพัดวิธีในการจัดการกับความเครียด
การผ่อนคลายทางร่างกาย เช่น การหายใจลึกๆ การออกกำลังกาย การนวด
การพักผ่อน การรับประทานอาหาร การอาบน้ำอุ่น
การลดความตึงเครียดทางจิตใจ เช่น การสร้างอารมณ์ขัน การคิดใทางบวก
การดูภาพยนตร์ การฟังเพลง การหัวเราะ การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ การใช้เทคนิคความเงียบ เพื่อหยุดความคิดของตัวเอง ในเรื่องที่ทำให้เครียด

สำหรับการฝึกคลายเครียดนั้น เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีอาการเครียดในระดับน้อยๆควรฝึกบ่อยๆ วันละ 2-3 ครั้ง และควรฝึกทุกวัน ต่อเมื่อฝึกจนชำนาญแล้วจึงลดลงเหลือเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอ หรืออาจฝึกเฉพาะเมื่อรู้สึกเครียดเท่านั้นก็ได้ แต่อยากแนะนำให้ฝึกทุกวัน โดยเฉพาะก่อนนอนจะช่วยให้จิตใจสงบ และนอนหลับสบายขึ้น






วิธีที่จะนำเสนอต่อไปนี้ นับเป็นวิธีการเฉพาะในการลดความเครียด ของ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข(http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1012)ซึ่งสามารถลดความเครียดที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันได้ เพราะในขณะที่เกิดความเครียด กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายจะหดเกร็งและจิตใจจะวุ่นวายสับสน ดังนั้น เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดส่วนใหญ่จึงเน้นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และการทำจิตใจให้สงบเป็นหลัก ซึ่งวิธีที่จะนำเสนอในที่นี้ จะเป็นวิธีง่ายๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
1. การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อที่ควรฝึกมี 10 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. แขนขวา
2. แขนซ้าย
3. หน้าผาก
4. ตา แก้มและจมูก
5. ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น
6. คอ
7. อก หลัง และไหล่
8. หน้าท้อง และก้น
9. ขาขวา
10. ขาซ้าย
วิธีการฝึกมีดังนี้
- นั่งในท่าสบาย
- เกร็งกล้ามเนื้อไปทีละกลุ่ม ค้างไว้สัก 10 วินาที แล้วคลายออก จากนั้นก็เกร็งใหม่สลับกันไปประมาณ 10 ครั้ง ค่อยๆ ทำไปจนครบทั้ง 10 กลุ่ม
- เริ่มจากการกำมือ และเกร็งแขนทั้งซ้ายขวาแล้วปล่อย
- บริเวณหน้าผาก ใช้วิธีเลิกคิ้วให้สูง หรือขมวดคิ้วจนชิดแล้วคลาย
- ตา แก้ม และจมูก ใช้วิธีหลับตาปี๋ ย่นจมูกแล้วคลาย
- ขากรรไกร ริมฝีปากและลิ้น ใช้วิธีกัดฟัน เม้มปากแน่นและใช้ลิ้นดันเพดานโดยหุบปากไว้แล้วคลาย
- คอ โดยการก้มหน้าให้คางจรดคอ เงยหน้าให้มากที่สุดแล้วกลับสู่ท่าปกติ
- อก หลัง และไหล่ โดยหายใจเข้าลึกๆ แล้วเกร็งไว้ ยกไหล่ให้สูงที่สุดแล้วคลาย
- หน้าท้องและก้น ใช้วิธีแขม่วท้อง ขมิบกันแล้วคลาย
- งอนิ้วเท้าเข้าหากัน กระดกปลายเท้าขึ้นสูง เกร็งขาซ้ายและขวาแล้วปล่อย
การฝึกเช่นนี้จะทำให้รับรู้ถึงความเครียดจากการเกร็งกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆ และรู้สึกสบายเมื่อคลายกล้ามเนื้อออกแล้ว
ดังนั้น ครั้งต่อไปเมื่อเครียดและกล้ามเนื้อเกร็งจะได้รู้ตัว และรีบผ่อนคลายโดยเร็ว ก็จะช่วยได้มาก
2. การฝึกการหายใจ
ฝึกการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณหน้าท้องแทนการหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าอก
เมื่อหายใจเข้า หน้าท้องจะพองออก และเมื่อหายใจออก หน้าท้องจะยุบลง ซึ่งจะรู้ได้โดยเอามือวางไว้ที่หน้าท้องแล้วคอยสังเกตเวลาหายใจเข้าและหายใจออก
หายใจเข้าลึกๆ และช้าๆ กลั้นไว้ชั่วครู่แล้วจึงหายใจออก
ลองฝึกเป็นประจำทุกวัน จนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ
การหายใจแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ทำให้สมองแจ่มใส ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วงเหงาหาวนอน พร้อมเสมอสำหรับภารกิจต่างๆ ในแต่ละวัน
3. การทำสมาธิเบื้องต้น
เลือกสถานที่ที่เงียบสงบ ไม่มีใครรบกวน เช่น ห้องพระ ห้องนอน ห้องทำงานที่ไม่มีคนพลุกพล่าน หรือมุมสงบในบ้าน
นั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือชนกันหรือมือขวาทับมือซ้ายตั้งตัวตรง หรือจะนั่งพับเพียบก็ได้ตามแต่จะถนัด
กำหนดลมหายใจเข้าออก โดยสังเกตลมที่มากระทบปลายจมูก หรือริมฝีปากบน ให้รู้ว่าขณะนั้นหายใจเข้าหรือออก
หายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ
หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 1
นับไปเรื่อยๆ จนถึง 5
เริ่มนับใหม่จาก 1-6 แล้วพอ
กลับมานับใหม่จาก 1-7 แล้วพอ
กลับมานับใหม่จาก 1-8 แล้วพอ
กลับมานับใหม่จาก 1-9 แล้วพอ
กลับมานับใหม่จาก 1-10 แล้วพอ
ย้อนกลับมาเริ่ม 1-5 ใหม่ วนไปเรื่อยๆ
ขอเพียงจิตใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น อย่าคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น เมื่อจิตใจแน่วแน่จะช่วยขจัดความเครียด ความวิตกกังวล ความเศร้าหมอง เกิดปัญญาที่จะคิดแก้ไขปัญหาและเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้อย่างมีสติ มีเหตุมีผล และยังช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นด้วย
4. การใช้เทคนิคความเงียบ
การจะสยบความวุ่นวายของจิตใจที่ได้ผล คงต้องอาศัยความเงียบเข้าช่วย โดยมีวิธีการดังนี้
- เลือกสถานที่ที่สงบเงียบ มีความเป็นส่วนตัว และควรบอกผู้ใกล้ชิดว่าอย่าเพิ่งรบกวนสัก 15 นาที
- เลือกเวลาที่เหมาะสม เช่น หลังตื่นนอน เวลาพักกลางวัน ก่อนเข้านอน ฯลฯ
-นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย ถ้านั่งควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงศีรษะอย่าไขว่ห้างหรือกอดอก
- หลับตา เพื่อตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก
- หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ
- ทำใจให้เป็นสมาธิ โดยท่องคาถาบทสั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา เช่น พุทโธ พุทโธ หรือจะสวดมนต์บทยาวๆ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เช่น สวดพระคาถาชินบัญชร 3-5 จบ เป็นต้น
ฝึกครั้งละ 10-15 นาที ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง แรกๆ ให้เอานาฬิกามาวางตรงหน้า และลืมตาดูเวลาเป็นระยะๆ เมื่อฝึกบ่อยเข้าจะกะเวลาได้อย่างแม่นยำ ไม่ควรใช้นาฬิกาปลุก เพราะเสียงจากนาฬิกาจะทำให้ตกใจเสียสมาธิ และรู้สึกหงุดหงิดแทนที่จะสงบ
การปรับตัวเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิต
หาผู้ที่สามารถให้คำปรึกษาได้ อาจเป็นเพื่อน ครอบครัว คนใกล้ชิด ผู้ให้คำปรึกษา (Counselor) หรือจิตแพทย์
หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาไปสักระยะหนึ่ง
พยายามไม่คาดหวังในสิ่งต่าง ๆ มากจนเกินไป
หลีกเลี่ยงการเกิดอารมณ์รุนแรง
ออกกำลังกายทุกวัน
สนใจศึกษาคำสอนของศาสนา
เข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ
ปรับปรุงเรื่องมนุษยสัมพันธ์

ขั้นตอน สู่การควบคุมความเครียด
คิดในแง่ดี
มีปัญหาเล่าสู่กันฟัง
สร้างความรักความอบอุ่นในครอบครัว
รักษาสุขภาพกายและจิตใจให้แข็งแกร่ง
ฝึกเทคนิคคลายเครียดด้วยวิธีการต่างๆ
วางแผนการบริหารจัดการเวลา
จัดการสิ่งที่จัดการได้ก่อน
เลือกสิ่งที่เป็นไปได้จริง
ตัดสินใจอย่างฉลาด

อ้างอิง:https://dmh.go.th/news/error.asp